วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

Present Simple Tense



รูปประโยค
Subject + Verb 1 (ประธานเอกพจน์เติม s ยกเว้น I, You) + ..........




เช่นHe gets up early.

I get up early.

The boys get up early.
 การเติม s ที่กริยาเมื่อประธานเป็นเอกพจน์

การเติม s ที่กริยาเมื่อประธานเป็นเอกพจน์

  1. กริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o และ x ให้เติม e เสียก่อนแล้วจึงเติม s เช่น

    pass-passes=ผ่าน
    brush-brushes=แปรงฟัน
    catch-catches=จับ
    go-goes=ไป
    box-boxes=ชก
  2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น ie แล้วจึงเติม s เช่น

    cry-cries=ร้องไห้
    carry-carries=ถือ, หิ้ว
    fly-flies=บิน
    try-tries=พยายาม

    ข้อยกเว้น : ถ้าหน้า y นั้นเป็นสระ ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น ie ให้เติม s ได้เลย เช่น
    play-plays=เล่น
    destroy-destroys=ทำลาย

เราจะใช้  Present Simple Tense  เมื่อใด
  1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไป หรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น

    The sun rises in the east.ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก


    The earth rotates on its axis.โลกหมุนอยู่บนแกนของตัวเอง


    It's cold in winter.มันหนาวในฤดูหนาว


    Fish swim in the water.ปลาว่ายอยู่ในน้ำ


    Fire is hot. Ice is cold.ไฟร้อน น้ำแข็งเย็น

  2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นประเพณี, นิสัย, สุภาษิต, ซึ่งไม่ได้บ่งบอกเฉพาะเจาะจงว่าเวลาใด เช่น

    Actions speak louder than words.
    ทำดีกว่าพูด

    Men wear thin clothes in summer.
    คนเราสวมเสื้อผ้าบางๆ ในฤดูร้อน

    That man speaks English as well as he speaks his own language.
    เจ้าคนนั้นพูดภาษาอังกฤษราวกับภาษาของตน

    Women are dressed all in black when going to the funeral.
    ผู้หญิงแต่งตัวด้วยชุดสีดำล้วน เมื่อไปในงานศพ

  3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะที่พูด ซึ่งก่อนหน้าที่พูดหรือหลังจากพูดไปแล้วจะเป็นตามนั้นหรือไม่ก็ได้ ไม่มีผลผูกพัน แต่จะต้องเป็นจริงขณะที่พูด เช่น

    He stands under the tree.เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ (ยังไม่ได้ไปไหน)


    I have five books in the suitcase.ฉันมีหนังสือ 5 เล่มอยู่ในกระเป๋า


    Alan is my close friend.อลันเป็นเพื่อนสนิทของฉัน (ขณะนี้ก็ยังเป็นมิตรกันอยู่)

  4. ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติเช่นนั้น (นิยมใช้กับกริยาที่แสดงการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง) โดยจะมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอนาคตมาร่วมด้วยก็ได้ เช่น

    I leave by 6.00 train this evening.
    ผมจะออกเดินทางโดยขบวนรถไฟเวลา 18.00 น. เย็นนี้

    He sets sail tomorrow for Hua-Hin, and comes back next week.
    เขาจะออกเรือไปหัวหินพรุ่งนี้ และก็จะกลับในสัปดาห์หน้า

    We attack the enemies at dawn.
    เราจะเข้าโจมตีข้าศึกเวลาเช้าตรู่

  5. ใช้กับเหตุการณ์ในประโยค Subordinate Clause (อนุประโยค) ที่บ่งบอกเวลาเป็นอนาคต ซึ่งประโยค Subordinate Clause ที่ว่านี้ จะขึ้นต้นประโยคของมันด้วยคำต่อไปนี้ คือ

    if, when, whenever, unless, until, till, as soon as, while, before, after, as long as, etc. เช่น

    If the weather is fine tomorrow, we shall have a pinic.
    ถ้าพรุ่งนี้อากาศดี เราก็จะไปเที่ยวกัน

    Unless he sends the money before Sunday, I shall consult my lawyer.
    ถ้าเขาไม่ส่งเงินมาก่อนวันอาทิตย์ ผมก็จะไปปรึกษาทนายความของผม

    Let's wait until (till) he comes.
    ขอให้เรารอจนกว่าเขาจะมา

    When you see Dan tomorrow, remember me to him.
    เมื่อคุณพบแดนในวันพรุ่งนี้ ก็ฝากความคิดถึงจากผมไปหาเขาด้วย

  6. ใช้กับเหตุการณ์ในกรณีสรุปเรื่องที่เล่ามา แม้เหตุการณ์นั้นจะได้เกิดขึ้นแล้วในอดีตแต่เราก็ใช้ Verb เป็น Present Simple Tense ทั้งนี้เพื่อให้เรื่องที่เล่านั้นมีชีวิตชีวา เหมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน (ส่วนมากมักใช้ในการเขียนนิยาย, บทละคร) เช่น

    Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He asks Antonio to lend him money. Antoniosays that he hasn't any at the moment until his ships come to port.
    Bassanio ต้องการจะไป Belmont เพื่อเกี้ยวจาพาราสีกับนาง Portia เขาขอยืมเงิน Antonio Antonio บอกว่า ขณะนั้นเขาไม่มีเงิน เอาไว้จนกว่าเรือเข้าเทียบท่าแล้ว (เขาจึงจะมีเงินให้ยืม)

    (Verb ในประโยคต่างๆ ใช้ Present Simple Tense ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เกิดในอดีต ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความสนุกเหมือนเหตุการณ์ได้เกิดในปัจจุบัน)

  7. การกระทำของกริยาที่ไม่สามารถแสดงอาการออกมาให้เห็นได้ เช่น กริยาแสดงความนึกคิด แสดงความรับรู้ แสดงภาวะของจิต แสดงความเป็นเจ้าของ (กริยาเหล่านี้ไม่ใช้ในรูป Continuous Tense) เช่น

    She loves her husband very much.หล่อนรักสามีของหล่อนมากๆ

    (loves เป็นกริยาแสดงภาวะของจิต)
    He knows about how to open the can.เขารู้วิธีที่จะเปิดกระป๋อง

    (knows เป็นกริยาที่แสดงความรับรู้)
    Dictionary belongs to me.หนังสือ Dictionary เป็นของผม

    (belongs to เป็นกริยาแสดงความเป็นเจ้าของ)
    She detests people who are unkind to animals.หล่อนเกลียดคนที่ไม่มีเมตตาต่อสัตว์

    (detests เป็นกริยาแสดงความรู้สึกนึกคิด)

  8. ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทำเป็นประจำ หรือเป็นนิสัยเคยชิน มักจะมีคำหรือกลุ่มคำหรือประโยค ซึ่งมีความหมายว่า บ่อยๆ, เสมอๆ, ทุกๆ....... ร่วมอยู่ด้วย

    คำที่แสดงความบ่อยที่นำมาใช้ตามกฎข้อนี้ แยกออกเป็น 3 ชนิดย่อยๆ คือ

    คำ (word)กลุ่มคำ (Phrase)ประโยค (Clause)
    alwayseverydaywhenever he sees me
    oftenevery weekwhenever he comes here
    sometimesevery monthevery time he sees me
    frequentlyevery yearevery time he comes here
    usuallyonce a weekwhenever she can
    naturallytwice a monthwhenever you want
    generallyin the morningwhen he comes here
    rarelyon Sundays (ทุกวันอาทิตย์)when he does his work
    seldomon week days (ทุกวันธรรมดา)-
    habituallyon holidays (ทุกวันหยุด)-

    He says hello to me whenever he sees me.เขาพูดสวัสดีกับผมเมื่อเขาเห็นผม


    I wash my car every week-end.ผมล้างรถของผมทุกๆ วันหยุดสัปดาห์


    She usually relaxes after game.โดยปกติหล่อนจะพักผ่อนหลังเล่นกีฬาเป็นประจำ


    David visits his home twice a year.เดวิดจะไปเยี่ยมบ้านปีละ 2 ครั้ง


    Somsri habitually gets up early.สมศรีตื่นแต่เช้าตรู่เป็นประจำ


    We go to school every day.พวกเราไปโรงเรียนทุกๆ วัน